Friday, October 18, 2013

บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความผิดของมารซาตาน


สำหรับผู้เชื่อส่วนใหญ่แล้ว การที่บางครั้งเรามีความรู้สึกว่าไม่ประสบกับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงมีไว้ให้สำหรับเราในอาณาจักรของพระองค์  บางครั้งเรามองดูคนอื่นๆที่เป็นคนของพระเจ้าที่เต็มไปด้วยพลัง ที่เดินตามพระเจ้าอย่างใกล้ชิดมากกว่าเรา ที่สามารถได้ยินเสียงของพระองค์และรู้ได้ว่าจะต้องทำอะไร ที่มักมีเรื่องการอัศจรรย์ที่สดใหม่มาเล่าแบ่งปันให้เราฟังอยู่เสมอ  บางครั้งเราเห็นคำสัญญาในพระคัมภีร์แต่ก็ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นเกิดผลในชีวิตของเราเองสักที  เราควรจะมีความปิติยินดี แต่เรากลับไม่มี  เราควรจะมีสันติสุข แต่เราก็ยังมีความหวาดกลัว  เราควรได้รับการรักษาให้หาย แต่เราก็ยังมีประเด็นปัญหาต่างๆอยู่ เราควรจะมีการทะลุทะลวง แต่เราก็ยังติดแหงก เราควรจะก้าวหน้าไปในทางแห่งเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเรา แต่เรากลับรู้สึกว่าทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังถอยหลัง

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดและอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราจำต้องยอมรับความจริงนี้กับคนอื่นๆ เราก็เคยเป็นอย่างนั้น และเพื่อที่จะพยายามแก้ไขมันให้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม เรามักจะแสวงหาเหตุผลทางฝ่ายจิตวิญญาณมาอธิบายว่า คงต้องมีพลังที่เรามองไม่เห็นอะไรสักอย่างมาเกี่ยวข้องกับปัญหาของเราเป็นแน่ ก็อย่างที่เรามักพูดกันไม่ใช่หรือว่า เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อและไม่ใช่ด้วยสิ่งที่มองเห็นด้วยสายตาไม่ใช่หรือ และก็มันจะเป็นใครอื่นอีกล่ะที่เป็นศัตรูของพระเจ้า มันก็คือมารซาตานนั่นเอง ที่กำลังเป็นตัวการของการรบกวน ปั่นป่วน ไม่มีความสงบสุขในชีวิตของเรา ใช่ไหมล่ะ เหตุผลแบบนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าท่าเชิงตรรกะสำหรับเราส่วนใหญ่นะ  ดังนั้น เวลาที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจและอับอาย เมื่อเราอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆที่ดูเหมือนจะเข้มแข็งฝ่ายจิตวิญญาณมากกว่าเรา เราก็มักจะพูดว่า “ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในการต่อสู้ฝ่ายจิตวิญญาณ มารมันกำลังโจมตีทำร้ายฉันอย่างมากในระยะนี้ ขอช่วยอธิษฐานเผื่อเพื่อปกป้องฉันให้พ้นจากสิ่งที่มันกำลังพยายามทำกับฉันด้วย”
เรื่องแบบนี้ฟังดูคุ้นๆไหมล่ะ? ผมว่าทุกคนคงเคยคิดอย่างนั้น มันเป็นคำพูดที่ออกจากปากผมนับครั้งไม่ถ้วน และหลายครั้ง ผมคิดผิดถนัดเลย คืออย่างนี้นะ สำหรับพวกเราส่วนใหญ่แล้ว คำพูดนี้เป็นเพียงคำแก้ตัวที่สะดวกดายและอย่างง่ายๆที่เรามีเท่านั้นเอง มันฟังดูขลังดีสำหรับคนอื่นๆที่ได้ยิน มันช่วยให้เราสบายใจที่เราจำต้องมีเหตุผลคำอธิบาย ก็เท่านั้นแหละเพื่อนเอ๋ย
เรื่องเล่าและอุปมาหลายๆเรื่องที่พระเยซูเล่า เกี่ยวกับประเภทต่างๆของผู้คนที่พลาดไปจากพระเจ้า และผู้คนประเภทที่ได้รับอะไรๆมากมายจากพระเจ้า  ในมาระโก 4 พระเยซูเล่าเรื่องชาวนาที่ออกไปหว่านเมล็ดพันธ์พืช ในขณะที่เขาหว่านไป เมล็ดก็ตกไปตามที่ต่างๆกัน บางส่วนก็งอกขึ้นและเกิดผลมากมาย แต่เมล็ดจำนวนมากไม่สามารถงอกเป็นต้นและให้ผลผลิตแต่อย่างใดเลย แล้วพระเยซูก็ได้อธิบายว่าเรื่องนี้แท้จริงแล้วพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวกับว่าเรามีอาณาจักรของพระเจ้าในชีวิตเราตอนนี้มากน้อยแค่ไหน
พระเยซูตรัสว่า มีผู้คนสามประเภทที่พลาดไปจากอาณาจักรของพระเจ้า ผู้ที่ขาดจากพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์กำลังทำในโลกนี้  และตรงนี้ที่เป็นส่วนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือ มารซาตานเป็นตัวต้นตอของปัญหาเพียง หนึ่ง ในสามเท่านั้น พระเยซูบอกว่าสองในสามคนนั้นที่พลาดไปจากพระเจ้า และมารมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นต้นตอของปัญหาเลย ถ้าเราคิดเลขได้อย่างง่ายๆ เราก็จะเห็นว่าเหตุผลสองในสามของผู้คนที่พลาดไปจากอาณาจักรของพระเจ้านั้น จริงๆแล้วมันไม่ใช่ความผิดของมารซาตาน!
เหตุผลเหล่านั้นคืออะไร? พระเยซูตรัสว่าผู้ที่พลาดไปจากอาณาจักรของพระเจ้า ก็เนื่องจากเขาเหล่านั้นมีประเด็นปัญหาในใจเขาที่จะต้องจัดการ คือ


  • ความคิดจิตใจอันตื้นเขิน
  • ความวิตกกังวลในชีวิต
  • เขาถูกลวงให้หลงใหลไปกับสิ่งดีมากมายในชีวิตของเขา และ
  • เขาถูกดึงให้เสียสมาธิหรือความตั้งใจจริงไปอย่างง่ายดาย เนื่องจากเขายังมีความอยากได้อยากมีในสิ่งอื่นๆนอกเหนือไปจากอาณาจักรของพระเจ้า

เรามักจะโทษมารซาตาน หรือ “การโจมตีจากศัตรู” ที่ทำให้เราขาดอาณาจักรของพระเจ้าหรือการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตของเรา แต่ที่จริงแล้วสองในสามส่วนของสาเหตุมันมาจากความตื้นเขินของเราเอง ใจที่ไม่หนักแน่นมั่นคง หันเหไปอย่างง่ายดายจากสิ่งที่เราจำเป็นต้องมุ่งมั่นใส่ใจ  เรามักจะโทษมารซาตานที่เราขาดพระเจ้า และที่คำสัญญาต่างๆไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น นั่นเพราะการโทษมารนั้นง่ายกว่าการที่เราจะเปลี่ยนแปลง การโทษมารหรือพลังอำนาจชั่ว ซึ่งที่จริงไม่เกี่ยวข้องกับเรานั้น มันง่ายกว่าการที่เราจะยอมรับเหตุผลที่เราห่างไกลไปจากพระสัญญาของพระเจ้า ซึ่งก็เนื่องจากว่าหัวใจเรานั้นห่างไกลไปจากพระเจ้าต่างหากเล่า

“เจ้าจะแสวงหาเราและจะพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราอย่างสุดจิตสุดใจ” (พระเจ้าตรัสดังนี้ ในเยเรมีห์ 29:11) ด้วยความจริงอย่างเปิดใจแล้ว การที่เราขาดการทะลุทะลวงในอาณาจักรของพระเจ้านั้น บ่อยครั้งมักจะไม่ใช่เป็นผลมาจากการโจมตีของผีมารซาตาน แต่มักเป็นผลมาจากการติดตามพระเจ้าแบบใจไม่เต็มร้อยในชีวิตของเราเองต่างหากเล่า เรามีความกระตือรือร้นอย่างมากในการที่จะเข้าถือครองอาณาจักรของพระเจ้า โดยที่เรามุ่งมั่นเข้าถึงพระคำของพระเจ้าเพื่อให้ได้คำตอบต่างๆสำหรับชีวิตของเราหรือไม่?  หรือว่าเรามีความพึงพอใจแล้วที่จะอยู่อย่างตื้นๆเหมือนกับคนทั่วๆไปที่เรียกตัวเองว่า “คริสเตียน” ที่เป็นอยู่อย่างผิวเผินเท่านั้น? เรากำลังติดตามใช้ชีวิตด้วยความเชื่อโดยยอมจ่ายราคา ไม่ว่าจะเท่าไร หรือว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความวิตกกังวลและความกลัว? เราหันเหความสนใจไปมุ่งใส่ใจในสิ่งดีทั้งหลายในชีวิตของเรา (เช่น ครอบครัว การงาน งานอดิเรก ฯลฯ) จนทำให้การติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องรอง – หรือเรื่องสุดท้าย - ในชีวิตของเราหรือไม่? เราใช้เวลากับมือถือของเรามากกว่าพระคัมภีร์หรือไม่? เราพยายามสังสรรค์สามัคคีธรรมกับผู้เชื่อในพระเจ้าด้วยกัน ทุกครั้งที่เราสามารถทำได้หรือไม่? หรือว่าเรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่จะมาร่วมนมัสการด้วยกันในวันอาทิตย์และใช้เวลาร่วมกันสักสองสามชั่วโมง? เราปรารถนาอย่างจริงจังที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้า หรือว่าเราปรารถนาในสิ่งอื่นมากกว่า?
คำตอบของเราต่อคำถามเหล่านี้อาจชี้ให้เห็นปัญหาที่แท้จริงของเรา บางทีมารซาตานอาจจะไม่ใช่เป็นตัวปัญหา บางทีอาจเป็นตัวเราเอง อาจเป็นใจเราเองต่างหากที่เป็นปัญหา  คุณยินดีที่จะแสวงหาพระเจ้าเพื่อที่จะได้คำตอบหรือไม่? พระเยซูได้พูดถึงคนประเภทที่สี่ด้วย ซึ่งคนเหล่านั้นมีชีวิตที่บริบูรณ์ในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นคนที่เกิดดอกออกผลในบั้นปลายทวีคูณจากจุดที่เขาเริ่มต้นมาเป็นร้อยเท่า และนี่คือคำอธิษฐานของผม สำหรับคุณและผมเองด้วยว่า ขอให้เราอย่าได้เป็นผู้ที่มีความคิดจิตใจที่ตื้นเขิน เสียสมาธิหรือเสียความตั้งใจง่าย วิตกกังวล หรือถูกล่อลวงใจ ขอให้เราเป็นผู้มีชีวิตบริบูรณ์ในอาณาจักรของพระเจ้า
หากคุณยังไม่มีสถานที่พักพิงฝ่ายจิตวิญญาณที่เรียกว่า “บ้าน” (หมายถึงคริสตจักร) ผมขอเชิญชวนคุณให้มาร่วมนมัสการในครอบครัวคริสตจักรเราที่ The River เมือง Kalispell รัฐ Montana สหรัฐอเมริกา ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอบนมัสการของเราและรับชมได้ที่ http://therivermontana.com

View the English version here: http://therivermontana.blogspot.com/2013/10/maybe-its-not-devils-fault.html

No comments:

Post a Comment